รัฐบาลเปิดเผยข่าวดี “ยาฟาวิพิราเวียร์” ที่วิจัยและพัฒนาการผลิตในประเทศไทย ลุ้นขึ้นบัญชี อย. จัดเตรียมใช้กับผู้เจ็บป่วยติดโรค วัววิด-19 ลดการสูญเสียในอนาคต
วันนี้ (13 กรกฎาคม 2564) มีความคืบหน้าประเด็นการวิจัยและพัฒนาการผลิต “ยาฟาวิพิราเวียร์” ในประเทศไทย สำหรับต้านทานไวรัส วัววิด-19 จัดเตรียมจะขึ้นบัญชีตำรับยาแล้ว
โดยนางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองผู้ประกาศประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ได้เผยออกมาว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีแล้วก็รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้ติดตามการศึกษาเรียนรู้วิจัยแล้วก็ความเจริญผลิต “ยาฟาวิพิราเวียร์” ในประเทศซึ่งเป็นส่วนหนึ่งส่วนใดของการขับเขยื้อนตามแผนที่มีความสำคัญในการรบเศรษฐกิจ BCG (Bio-Circula-Green Economy) ของรัฐบาล
สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ) แถลงการณ์ว่า ได้มีการลงชื่อความร่วมแรงร่วมมือระหว่าง สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ องค์การเภสัชกรรม (อภ.) แล้วก็ บริษัท การปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย เพื่อร่วมกันวิจัยและพัฒนากระบวนการสังเคราะห์สารตั้งต้น (Active Pharmaceutical Ingredients : API) ของการผลิตยาฟาวิพิราเวียร์ ความเป็นไปได้สำหรับในการผลิตเชิงการค้า เพี่อสร้างความมั่นคงยั่งยืนทางยาให้แก่เมืองไทย
โดยความร่วมแรงร่วมมือดังที่ได้กล่าวมาแล้ว มีความคืบหน้าอย่างมากสามารถสังเคราะห์สารตั้งต้นที่มีความบริสุทธิผ่านหลักเกณฑ์มาตรฐาน แล้วก็ยังเป็นการสังเคราะห์จากสารตั้งต้นที่แพงถูก โดยไม่ต้องนำเข้าวัตถุดิบจากต่างแดน ซึ่งปัจจุบันนี้ควรมีการนำเข้ามากถึงจำนวนร้อยละ 95
มากมายไปกว่านั้นในกรกฎาคมนี้ ทางองค์การเภสัชกรรม คาดว่า ยาฟาวิพิราเวียร์ที่ได้วิจัยและพัฒนาขึ้นนั้น จะได้รับการขึ้นบัญชีตำรับยา จากอย. (อย.) แล้วก็จากนั้นจะเป็นการผลิตเชิงการค้า เพื่อ ผู้เจ็บป่วยวัววิด19 เข้าถึงยาอย่างพอเพียง เมื่อทั้งหมดทุกอย่างสำเร็จลุล่วง เมืองไทย จะสามารถผลิตยาฟาวิพิราเวียร์ในราคาที่ถูกกว่านำเข้าอย่างมาก
(รัชดา ธนาดิเรก)
ดังนี้ ความร่วมแรงร่วมมือระหว่าง สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ อภ. แล้วก็บริษัท การปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย ด้วยว่าครอบคลุมตั้งแต่การทดลองในระดับห้องปฏิบัติการ (Laboratory scale) การถ่ายทอดเทคโนโลยีจนกระทั่งระดับอุตสาหกรรม (Industrial scale) ตลอดจนการเรียนรู้ความเป็นไปได้ในการพัฒนาสารออกฤทธิ์ทางการปรุงยา (Feasibility Study) ที่มีความสามารถในเชิงการค้า จึงถือเป็นอีกหนึ่งโมเดลความร่วมแรงร่วมมือรัฐ-เอกชนในการพัฒนาอุตสาหกรรมยา ช่วงเวลาเดียวกันการพัฒนาวัคซีนปกป้องโรควัววิด19
โดยนักวิจัยไทยมีความรุ่งโรจน์ไปมากด้วยเหมือนกัน ชี้ให้เห็นถึงความรู้ความเข้าใจทางด้านการแพทย์แล้วก็สาธารณสุขของไทยระยะยาวนำไปสู่การลดการนำเข้า แล้วก็ยังเป็นแถวทางหนึ่งที่ช่วยให้ประเทศก้าวพ้นกับรายได้ปานกลางซึ่งบุคคลากรมีอีกทั้งความรู้แล้วก็นำไปต่อยอดเพื่อการผลิตขายต่อไปด้วย